วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

แบบทดสอบบทที่ 3 วิวัฒนาการการศึกษาไทย

แบบทดสอบบทที่ 3 วิวัฒนาการการศึกษาไทย

1. แนวคิดทางการศึกษาของไทยยุคก่อนมีระบบโรงเรียน มีสาระสำคัญอะไรบ้าง
 ตอบ มีวัดเป็นแหล่งให้ความรู้ มีพระภิกษุเป็นผู้สอน จะไม่มีการจดบันทึกไว้ แต่จะใช้ความสามารถในการท่องจำ และเล่าเรียนเพื่อประกอบอาชีพเท่านั้น

2. สมัยกรุงสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยา การจัดการศึกษาเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรอธิบาย
 ตอบ แตกต่างกัน คือ สมัยสุโขทัยเริ่มมีการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมา อีกทั้งมีสถานที่เรียนด้วยกัน 
3 แห่งคือ วัด สำนักปราชญ์ราชบัณฑิต และราชสำนัก นอกจากนั้นยังได้จัดแบ่งการศึกษาเป็น 4 องค์คือ จริยศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษา และหัตถศึกษา ซึ่งเน้นเกี่ยวกับหลักคำสอนของพุทธศาสนา ส่วนในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นมีความก้าวหน้ามาก มีการแต่งหนังสือแบบเรียนขึ้นมาเป็นเล่มแรก คือ หนังสือจินดามณี และยังมีการติดต่อกับฝรั่ง ส่งผลให้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ขึ้นอีกด้วย

3. อิทธิพลชาวตะวันตกที่มีผลต่อการศึกษายุคก่อนมีระบบโรงเรียนมีอะไรบ้าง
 ตอบ การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาอย่างจริงจัง โดยมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น นอกจากนั้นยังได้สอนวิชาการแบบยุโรป ซึ่งเป็นวิชาการศึกษาที่มีความล้ำสมัย

4. การจัดการศึกษาสมัยกรุงธนบุรีและสมัยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความก้าวหน้าอย่างไร
 ตอบ เริ่มมีการนำวิทยาการใหม่ๆเข้ามา มีการจัดพิมพ์ตำราเรียน นับเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปการศึกษาของไทย

5. แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ เกิดในสมัยใด ตรงกับรัชกาลใด มีที่มาอย่างไร
 ตอบ แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ "จินดามณี" เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 ตรงกับรัชกาลที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากพระองค์ทรงเกรงว่าคนไทยจะหันไปเข้ารีตและนิยมฝรั่ง จึงทรงรับสั่งให้พระโหราธิบดีแต่งหนังสือแบบเรียนภาษาไทยเป็นของตนเองขึ้น

6. การจัดการศึกษาภาคบังคับ มีลักษณะเป็นอย่างไร จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ การกำหนดขอบเขตการศึกษาขั้นต่ำให้แก่ประชาชนทุกคน เพราะว่าการศึกษาเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์

7. การจัดการศึกษาที่เรียกว่า มาติกาศึกษา เป็นอย่างไร จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ การศึกษาที่มีองค์ประกอบในการศึกษาที่พร้อม ครบถ้วน ซึ่งมาติกาการศึกษามีอยู่ด้วยกัน 8 มาติกา คือ
    1) ตำบลที่เล่าเรียน ในอดีตคือ ที่ตั้งของวัด และในปัจจุบันคือ ที่ตั้งของโรงเรียน
    2) โรงเรียน ในอดีตคือ ที่เรียนในวัด
    3) นักเรียนและครู ในอดีตมี 3 ประเภท คือ พรภิกษุ สามเณร และศิษย์วัด
    4) เวลาเรียน ในอดีตคือ ตอนพระว่าง และในปัจจุบันคือ เวลา 08.00-16.00 น.โดยประมาณ
    5) เครื่องเล่าเรียน ในอดีตคือ กระดานฉนวน ดินสอพอ ปากกาไม้ไผ่ เป็นต้น และในปัจจุบันคือ ปากกา ดินสอ กระดาษ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
    6) วิชาหนังสือ คือ หนังสือเรียนและหนังสืออ่านประกอบ
    7) วิชาเลข คือ เลขคณิตวิธีต่างๆ
    8) ข้อบังคับการเรียน คือ ระเบียบวินัยในการเรียน การชมเชย และการลงโทษ

8. การจัดการศึกษาที่มุ่งคนเข้ารับราชการตรงกับสมัยใด จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากประเทศนั้นต้องการหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ารับราชการ เพราะต้องการพัฒนาประเทศและการศึกษาให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

9. การปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นด้วยหรือไม่ จงอธิบาย ยกเหตุผล
 ตอบ เห็นด้วย เพราะมีการแบ่งขอบเขตในการพัฒนาการศึกษาอย่างชัดเจน คือ การประกาศเขตพื้นที่การศึกษา อีกทั้งการกระจายอำนาจให้สถานศึกษา ทำให้ประชาชนมีสิทธิในการศึกษาหาความรู้อย่างเท่าเทียมกัน และการจัดการศึกษาได้มุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีศักยภาพสูงขึ้นจากเดิม

10. ท่านเข้าใจการจัดการศึกษาเข้าสู่สมาคมอาเซียน มียุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างไร

 ตอบ ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ การสร้างความตระหนักในหลักสูตรระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เตรียมบุคลากรครูและนักเรียนเพื่อรับรองและขยายโอกาสทางการศึกษา ที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีความแตกต่างทั้งด้านภาษาและวัฒธรรม

สรุปย่อปรัชญาการศึกษา

สรุปย่อปรัชญาการศึกษา

1. ปรัชญาสารัตถนิยม
ปรัชญาสารัตถนิยมนั้นจะเน้นในด้านการเรียนรู้ การสร้างวินัยในตนเอง ครูผู้สอนและผู้เรียน การศึกษามาจากครูมิใช่ผู้เรียน ครูเป็นผู้ให้นักเรียนเป็นผู้รับ หลักสูตรเน้นเนื้อหาวิชาและวิธีสอนให้นักเรียนมุ่งรับรู้และจดจำใช้การปาฐกถาเข้าไป

2. ปรัชญานิรันตรนิยม
ปรัชญานิรันตรนิยม เกิดจากการสนธิคำจากคำว่า สาระ+อัตถ”  ดังนั้น ปรัชญานิรันตรนิยม คือการศึกษาถึงเนื้อหาวิชาและแก่นสาระพื้นฐานส่วนสำคัญ  ปรัชญาสารัตถนิยมมาจากพื้นฐาน 2 ปรัชญา ก็คือ ปรัชญาจิตนิยมและปรัชญาสัจนิยม โรงเรียนส่งเสริมให้รู้จักคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม เน้นระเบียบวินัยผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ใช้วิธีการบรรยายในการรับรู้ จดจำ ใช้การออกกำลังกายในการสร้างผู้เรียนให้มีวินัย

3.ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม เป็นปรัชญาที่เน้นการต่อต้านแต่การศึกษาแบบดั้งเดิมที่มักจะเน้นแต่เนื้อหาท่องจำอย่างเดียว ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ครูเป็นผู้จัดประสบการณ์หรือกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนรวมอยู่บนพื้นฐานและความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องโดยเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจริง ใช้วิธีสอนแบบปรัชญาตามหลักวิทยาศาสตร์ครูเป็นผู้ชี้แนะจัดกิจกรรม

4.ปรัชญาปฏิรูปนิยม
ปรัชญาปฏิรูปนิยม ปฏิรูป คือ การบูรณะหรือการสร้างขึ้นใหม่ ปฏิรูปนิยมจึงมุ่งการปฏิรูปสังคม ขึ้นมาใหม่ เพราะถือว่าสังคมในปัจจุบันมีปัญหา ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และศิลปวัฒนธรรมเป็นเหตุต้องแก้ปัญหาอยู่เรื่อย ๆ จึงต้องหาทางสร้างค่านิยมและแบบแผนของสังคมขึ้นใหม่ เน้นหาค่านิยม สร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมอีกทั้งต้องเตรียมคนสู่สังคมใหม่ พัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ปฏิรูปนิยมมีพื้นฐานมาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม ผสมผสานกับปรัชญาพิพัฒนาการโรงเรียนจะต้องจัดกิจกรรมอย่างอิสระ ยืดหยุ่น ผู้เรียนได้รับประสบการณ์และทักษะตามวิถีทางประชาธิปไตย

5.ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (existentialism)
ปรัชญาอัตถิภาวนิยม เป็นปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่ทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ยิ่ง เพราะเชื่อว่ามนุษย์มิใช่วัตถุแต่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก มีความต้องการ และมีความเป็นตัวของตัวเอง
ผู้คิดค้นปรัชญาอัตถิภาวนิยม คือ ซอเร็น เคียร์เคอกอร์ อัตถิภาวนิยม ปรัชญาอัตถิภาวนิยม เกิดจากคำสองคำ คือ อัต = ความเป็นอยู่ + ภาวะ = สภาพความมีอยู่การจัดการสิ่งแวดล้อมจึงมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กจะเรียนรู้และดูดซับประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาจากสิ่งแวดล้อม ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น

6.พุทธปรัชญา
พุทธปรัชญา ซึ่งได้แนวคิดมาจากพระพุทธศาสนา (Buddhism) และปรัชญาการศึกษาอื่นๆ การศึกษาในพุทธปรัชญา คือ การศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริง เข้าใจความหมายของชีวิต ทั้งดำรงชีวิตให้สอดคล้องสัมพันธ์กับความจริงโดยใช้เหตุและผล พุทธปรัชญามีจุดมุ่งหมายจะต้องมุ่งพัฒนาโลภ โกรธ หลงให้ลดลง และพัฒนาความรู้ ความจำ นิสัยและอื่นๆในทางที่เหมาะสม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปย่อการศึกษาไทย

สรุปย่อการศึกษาไทย

ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ

    การศึกษาสมัยนี้มีบ้านและวัดเป็นศูนย์กลาง บ้านเป็นศูนย์กลางใน
การขัดเกลาจิตใจสมาชิกในบ้าน วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยพระเป็นผู้อบรมสั่งสอนธรรมะ  ผู้ชายนิยมบวชเรียน ส่วนผู้หญิงนิยมเย็บปักถักร้อย
ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย
     ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ผู้ชายเน้นบวชเป็นพระ ซึ่งศึกษาพระธรรมและพระไตรปิฏกส่วนผู้หญิงเน้นการเป็นกุลสตรีที่ดี การเป็นแม่บ้านแม่บ้านเพื่อให้ตัวเองเป็นภรรยาที่ดีของสามี
สถานที่ศึกษาในสมัยนี้แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
1. บ้าน เป็นสถานที่เริ่มต้นของผู้ชายและผู้หญิงทุกคน โดยอบรมบ่มเพาะจากบิดามารดา โดยบิดามารมีหน้าที่บ่มเพาะบุตรหลานเป็นบุคคลที่ดี
2. วัด เป็นสถานที่ที่ศึกษาสำหรับผู้ชายเป็นพระเพื่อศึกษาพระไตรปิฏก จริยธรรม คุณธรรม ส่วนผู้หญิงจะเรียนที่หอเรือน  ศึกษาเกี่ยวกับฝึกความเป็นกุลสตรี การเย็บปักถักร้อย เพื่อจะเป็นภรรยาที่ดีของสามี
3. สำนักราชบัณฑิต สำหรับผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ศึกษาวิชาชีพที่สูงขึ้นมา
4. วัง สำหรับเชื้อราชวงศ์ ศึกษาเกี่ยวกับยุทธหัตถี การปกครองบ้านเมือง

ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา

    ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. แบบทหาร เรียนเกี่ยวกับการใช้ดาบ ง้าว ศัสตราวุธ ขี่ม้า ขี่ช้างและศึกษาตำราพิชัยยุทธ์ เพื่อนำไปปกป้องการรุกรานจากต่างประเทศ
2. แบบพลเรือน พลเรือนชายจะศึกษาพระไตรปิฏก เลข ภาษาและโหราศาสตร์ โดยมีคำพูดที่ว่า ถ้าไม่บวชเรียน จะไม่ได้รับราชการส่วนผู้หญิงเรียนเพื่อออกเรือน เรียนพวกเย็บปักถักร้อย,ทำอาหาร,แกะสลัก เป็นต้น
สมัยอยุธยามีการแต่งหนังสือ "จินดามณี" และตั้งโรงเรียน " มิชชันนารี" ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี
    ศูนย์กลางการศึกษาอยู่ที่วัด พ่อแม่จะพาลูกไปฝากที่วัด โดยมีพระ
สงฆ์สอนหนังสือ  หนังสือที่ใช้ในการเรียนคือ หนังสือจินดามณี ด้าน
อาชีพ ลูกจะประกอบอาชีพจากพ่อแม่ ซึ่งถ่ายทอดแก่ลูก สตรีนิยมไม่ให้เรียนหนังสือ จะให้เรียนพวกเย็บปักถักร้อย พวกงานบ้านงานเรือน และมารยาทกุลสตรีไทย

   ประวัติศาสตร์สมัยใหม่
    เริ่มมาจากสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นำเอาการศึกษาตะวันตกมาเกี่ยวข้องในประเทศไทย มีการเลิกทาสโดยมีความทัดเทียมในการศึกษาและมีการให้ความสำคัญที่สถาบันการศึกษา บุคคลใดที่ได้เข้าการศึกษาแล้วจะต้องสำฤทธิ์ผล แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวกับการศึกษาไทยมากขึ้น ทำให้เด็กๆไม่ต้องท่องจำ และเด็กๆมีสิทธิส่วนตัวมากขึ้น ทำให้เด็กๆสนใจเรียนน้อยลง

ประวัติการศึกษาไทย
    การศึกษาไทยสมัยก่อน จะอยู่ที่บ้าน วัด หรือวัง การศึกษาในบ้าน มักจะฝึกฝนวิชาชีพ  ในวัด สำหรับผู้ชายเน้นหนักทางด้านจริยธรรมและภาษาบาลี  ส่วนในวังจะมีการศึกษาสูงกว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้มีการสอนภาษาอังกฤษในพระราชสำนัก  ตอนยุคเกิดการล่าอาณานิคม จากตะวันตก และรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้มีความรู้ทางหนังสือ และทรงเปลี่ยนระบบการศึกษาเดิมเป็นแบบตะวันตกและทรงตั้งโรงเรียนหลวงเพื่อขยายการศึกษา  เมื่อทรงเปิดโรงเรียน "โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" พ.ศ. 2427 โดยจัดการศึกษาให้ทัดเทียมกัน และทรงปรับปรุงเป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็กและได้ตั้งมหาวิทยาลัยแห่งของประเทศไทยคือ "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
"เจ้านายราชตระกูล ตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นลงไป
ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำที่สุด จะให้ได้มีโอกาสเล่าเรียน
ได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่
เพราะฉะนั้น จึงขอบอกได้ว่าการเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานี้
จะเป็นข้อสำคัญที่หนึ่ง ซึ่งฉันจะอุตส่าห์จัดขึ้นให้เจริญให้จงได้"
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการศึกษาของไทย คือ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นการศึกษาที่ทันสมัยอย่างมากในปัจจุบัน

การพัฒนาการศึกษาไทย
    การศึกษาไทยสมัยก่อน จะอยู่ที่บ้าน วัด หรือวัง การศึกษาในบ้าน มักจะฝึกฝนวิชาชีพ  ในวัด สำหรับผู้ชายเน้นหนักทางด้านจริยธรรมและภาษาบาลี  ส่วนในวังจะมีการศึกษาสอนวิชาหนังสือสูงกว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้มีการสอนภาษาอังกฤษในพระราชสำนัก  ตอนยุคเกิดการล่าอาณานิคม จากตะวันตก และรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้มีความรู้ทางหนังสือ และทรงเปลี่ยนระบบการศึกษาเดิมเป็นแบบตะวันตก

ปฏิรูปการศึกษาไทย
  การศึกษาไทยเป็นระบบที่ล้มเหลวในการสอนคนอ่าน เขียนได้อย่างแท้จริง
คุณภาพการศึกษาไทยที่พบในโลกจริง
1. เด็กไทยอ่านออกเขียนได้ในระดับที่จำกัด
2. เด็กไทยจำนวนมากไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับสูง เด็กจำนวนนึงออกไปทำงานหรือไม่ก็ออกไปแต่งงาน
3. ท่องจำแต่ไม่เข้าใจ
4. บัณฑิตไม่สามารถทำงานได้ ทำงานไม่เป็น เป็นต้น
อะไรทำให้การศึกษาไทยล้มเหลว
1. รัฐไม่ใส่ใจจัดสรรงบประมาณให้น้อย
2. ครูเงินเดือนน้อย คนเก่งไม่มาเป็นครู
3. เด็กไทยเรียนน้อยเกินไป ไม่ขยัน
สาเหตุของความล้มเหลวของการศึกษาไทย
1 ความรับผิดชอบ  ไม่มีใครถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนเอง เพราะว่าการศึกษาปัจจุบันจะไปขึ้นอยู่กับประเมินของกระทรวงเป็นหลัก แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเรียน
2. หลักสูตรการศึกษาไทยเน้นท่องจำมากกว่าสอนให้คิดเป็น
ลักษณะหลักสูตรที่ดี
1.กระชับ และเน้นการแก้ปัญหา
2.บูรณาการ
3.หลักสูตรช่างคิด

เป้าหมายการศึกษาที่ดี
 การที่ประชาชน มีความรู้ ทักษะ การแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมุ่งพัฒนาด้านความฉลาด 3 ด้านคือความฉลาดทางปัญญา IQ , ความฉลาดทางอารมณ์ EQ ,ความฉลาดทางสังคม SQ คือ สำนึกในสังคมที่มีความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม 

สถานการณ์การศึกษาไทย 2557
การวิจัยพบว่า การศึกษาของไทยด้อยและแย่ที่สุด ทำให้เกิดปัญหาคอขวด  เด็กไทยเพียงแค่ 1 ใน 3 คนที่จะมีโอกาสเข้าโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาไทย
 -จัดมาตรฐานโรงเรียนแต่ละโรงเรียนให้เท่าเทียมกัน ไม่แบ่งคนรวยคนจน เก็บค่าเทอมให้เท่ากัน
 -หาครูดีๆ สอบแย่งเพื่อเป็นครู ไม่ใช่รับคนที่หางานทำไม่ได้ แล้วมาสอบแย่งเพื่อเป็นครู
 -เรียนเพื่อใช้ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบอย่างเดียว
 -ครูต้องมีคุณภาพ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักเรียน